การเกิดน้ำพุร้อนและน้ำพุร้อนในเทศ
น้ำพุร้อนเกิดจากอะไร สาเหตุการเกิดน้ำพุร้อนแต่ละชนิดมีกระบวนการ

น้ำพุร้อน หมายถึง น้ำที่พ่นออกมาจากผิวดินขึ้นสู่อากาศ ด้วยความดันจากความร้อนใต้พิภพ ซึ่งน้ำพุร้อนนี้มีหลายขนาดและหลายประเภทแตกต่างกันออกไปตามสภาพภูมิประเทศหรือปัจจัยการเกิดของน้ำพุร้อนนั้นๆ เช่นปริมาณแร่ธาตุที่ละลายผสมอยู่ในน้ำ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถแบ่งน้ำพุร้อนออกเป็นประเภทที่พบเห็นได้บ่อย และวิธีการเกิดได้ดังต่อไปนี้
1. น้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geyser) เป็นน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่และกำลังแรงมาก อาจะพ่นน้ำได้สูงขึ้นไปในอากาศได้ถึง 60 เมตรเลยก็ได้ เกิดจากการสะสมความร้อนจากน้ำในโพรงดินใต้พื้นพิภพ และไม่สามารถระบายออกมาได้ เมื่อความร้อนไม่สามารถระบายออกมาได้ ก็จะสะสมกักเก็บจนมีแรงดันมหาศาลที่สามารถพ่นน้ำให้สูงขึ้นไปได้ในอากาศ และเมื่อความร้อนคลายออกไปจนหมดแล้ว จะเข้าสู่การเก็บสะสมความร้อนใหม่อีกครั้ง
2. น้ำพุร้อน ( Hot Spring ) เกิดจากน้ำที่ไหลออกมาจากทางน้ำใต้พื้นดิน ซึ่งมีอุณหภูมิที่สูงกว่าร่างกายมนุษย์ โดยมากน้ำที่ไหลออกมาจะเป็นลักษณะของการปลดปล่อยพลังงาน และเมื่อน้ำที่ไหลออกมานั้นคลายความร้อนหรือพลังงานลงก็จะไหลกลับคืนสู่แหล่งอีกครั้ง ซึ่งบ่อน้ำพุประเภทนี้มักจะมีแร่ธาตุต่างๆ เจือปนอยู่ด้วยทำให้มักมีสีหรือกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป น้ำพุร้อนประเภทนี้พบได้มากใน ไทย ไอซ์แลนด์ นิวซีแลนด์ เป็นต้น
3. บ่อไอเดือดหรือพุก๊าซ (Fumarole) มีลักษณะที่เป็นปล่องหรือหลุม ซึ่งมักจะมีไอน้ำระเหยเป็นไออยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพราะในบริเวณนั้นมีน้ำน้อย แต่มีอุณหภูมิใต้พื้นดินที่มีความร้อนสูง ทำให้น้ำที่อยู่บริเวณนั้นระเหยกลายเป็นไออยู่ตลอดเวลา น้ำพุร้อนประเภทบ่อเดือดนี้พบได้มากในประเทศที่มีภูเขาไฟ
4. บ่อโคลนเดือด หรือบ่อพุเดือด(Mud pot) มีลักษณะเป็นบ่อที่มีน้ำผสมกับดินจนกลายเป็นดินเหลว ประกอบกับเมื่อมีความร้อนใต้ชั้นดินด้านล่างที่สูงจัด จนดันไอน้ำที่มีพลังงานความร้อนจัดขึ้นมาทะลุชั้นผิวที่เป็นโคลน ทำให้ดูเหมือนเป็นการระเบิดย่อยๆ บ่อชนิดนี้มักมีกำมะถันเจือปนอยู่ด้วย ดังนั้นจึงมักจะได้กลิ่นของกำมะถันกระจายอยู่ทั่วบริเวณ พบบ่อประเภทนี้ได้บ่อยมากในประเทศที่มีภูเขาไฟ
น้ำพุร้อนในแต่ละที่นั้นมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันออกไปนะครับ ตั้งแต่แค่อุ่นๆ จนไปถึงร้อนจัดจนสามารถต้มไข่สุกได้ในไม่กี่นาที สำหรับประเทศไทยเรานั้นสถานที่ท่องเที่ยวในเรื่องของน้ำพุร้อนจะอยู่ที่บริเวณภาคเหนือของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น น้ำพุร้อนหินดาด กาญจนบุรี น้ำพุร้อนสันกำแพง โป่งเดือดป่าแป๋ เชียงใหม่ และที่อื่นๆ อีกมากมาย
การเกิดน้ำพุร้อนในประเทศไทย
.jpg)
น้ำร้อนที่พบในแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพแต่ละ แหล่ง มักมีกำเนิดมาจากน้ำเย็นบนผิวดินหรือน้ำฝน (Meteoric Water) ที่ไหลซึมผ่านช่องว่าง หรือ รอยแตกของหินลึกลงไปใต้ดิน ได้รับความร้อนจากหินร้อน ทำให้มีอุณหภูมิและความดันสูง ไหลกลับสู่เบื้องบน และสะสมตัวในแหล่งกักเก็บ นอกจากนั้น อาจจะมาจากไอน้ำของหินหนืดที่เย็นตัว (Magmatic Water) และน้ำที่กักเก็บในช่องว่างระหว่างเม็ดแร่ประกอบหิน (Connate Water) หรือน้ำที่ได้จากการตกผลึกของหินบางชนิด
แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพทางภาคเหนือของประเทศไทย มีต้นกำเนิดของน้ำร้อนแบบเดียวกับที่อื่นๆ ในโลก คือ มีต้นกำเนิดจากน้ำเย็นบนผิวดิน จากการศึกษาของ Giggenbach (ปี ค.ศ.1977) ได้ศึกษาวิจัยไอโซโทปของธาตุดิวทีเรียม (D) และธาตุออกซิเจน-18 (18O) ของตัวอย่างน้ำร้อนและน้ำเย็น โดยเฉพาะแหล่ง น้ำพุร้อนป่าแป๋ และแหล่งน้ำพุร้อนฝาง พบว่า ส่วนประกอบของธาตุดิวทีเรียม และธาตุออกซิเจน-18 ของน้ำร้อนและน้ำเย็นมีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน
แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพทางภาคเหนือของประเทศไทย มีต้นกำเนิดของน้ำร้อนแบบเดียวกับที่อื่นๆ ในโลก คือ มีต้นกำเนิดจากน้ำเย็นบนผิวดิน จากการศึกษาของ Giggenbach (ปี ค.ศ.1977) ได้ศึกษาวิจัยไอโซโทปของธาตุดิวทีเรียม (D) และธาตุออกซิเจน-18 (18O) ของตัวอย่างน้ำร้อนและน้ำเย็น โดยเฉพาะแหล่ง น้ำพุร้อนป่าแป๋ และแหล่งน้ำพุร้อนฝาง พบว่า ส่วนประกอบของธาตุดิวทีเรียม และธาตุออกซิเจน-18 ของน้ำร้อนและน้ำเย็นมีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน

ลักษณะธรณีวิทยา ที่มีความสำคัญต่อระบบพลังงานความร้อนใต้พิภพโดยเฉพาะทางภาคเหนือของไทย คือ รอยเลื่อน (Fault) และรอยแยก (Joints) ส่วนโครงสร้างทางธรณีวิทยาอื่นๆ เช่น ระนาบของชั้นหิน (Bedding) รอยคดโค้ง (Folding) ริ้วขนาน (Foliation) ต่างก็มีความสัมพันธ์กับแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพทางภาคเหนือเช่นกัน แต่ก็มีบทบาทน้อยกว่า เนื่องจากโครงสร้างทางธรณีวิทยาประเภทแรก มีช่องว่างที่ให้น้ำร้อนไหลซึมขึ้นมาสู้ผิวดินได้มากกว่า ดังจะเห็นได้จากแหล่งน้ำพุร้อนแทบทุกแห่งที่ปรากฏอยู่ มักจะมีความสัมพันธ์ หรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของรอยเลื่อน (Fault Controlled) ทั้งที่เป็นรอยเลื่อนที่ยังมีพลัง (Active Fault) และรอยเลื่อนที่เชื่อว่ายังมีพลังคือ รอยเลื่อนแม่ทา ซึ่งมีลักษณะแบบครึ่งวงกลม (Semi-Circular Structure) อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงใหม่ และแหล่งน้ำพุร้อนหลายแหล่งก็มักจะปรากฏอยู่ในบริเวณรอยเลื่อนนี้ เช่น แหล่งน้ำพุร้อนโป่งฮ่อม อำเภอสันกำแพง แหล่งน้ำพุร้อนโป่งกุ่ม อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และแหล่งน้ำพุร้อนในบริเวณอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน

น้ำพุร้อนอุมลองหลวง อำเภอแม่สะเรียง
ส่วนรอยเลื่อนแม่สะเรียง - แม่ฮ่องสอน เป็นรอยเลื่อนธรรมดา (Normal Fault) วางตัวอยู่ในแนวเหนือ – ใต้ มีความยาวมากกว่า 100 กิโลเมตร และก็พบน้ำพุร้อน ที่เกิดอยู่ในแนวรอยเลื่อนนี้คือ แหล่งน้ำพุร้อนอุมลองหลวง อำเภอแม่สะเรียง เป็นต้น
ส่วนรอยเลื่อนในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นรอยเลื่อนสัมผัสระหว่างหินภูเขาไฟยุค Permo-Triassic กับหินตะกอนที่เกินในทะเล (Marine) ยุค Triassic สามารถพบแหล่งน้ำพุร้อนที่เกิดตามรอยเลื่อนนี้คือ แหล่งน้ำพุร้อนบ้านแม่จอกและแหล่งน้ำพุร้อนบ้านปันเจน อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
น้ำพุร้อนจึงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่น้ำร้อนไหลขึ้นมาจากใต้ดิน ปัจจุบันในประเทศไทยพบแหล่งน้ำพุร้อน 112 แหล่ง กระจายอยู่ทั่วไป ทั้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคใต้ โดยมีอุณหภูมิน้ำร้อนที่ผิวดินอยู่ในช่วง 40 – 100 องศาเซลเซียส โดยน้ำพุร้อนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้ เช่น นำมาผลิตกระแสไฟฟ้า นำมาใช้ในด้านอุตสาหกรรมและการเกษตรกรรม ในปัจจุบันยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากอีกแหล่งหนึ่งอีกด้วย
ส่วนรอยเลื่อนในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นรอยเลื่อนสัมผัสระหว่างหินภูเขาไฟยุค Permo-Triassic กับหินตะกอนที่เกินในทะเล (Marine) ยุค Triassic สามารถพบแหล่งน้ำพุร้อนที่เกิดตามรอยเลื่อนนี้คือ แหล่งน้ำพุร้อนบ้านแม่จอกและแหล่งน้ำพุร้อนบ้านปันเจน อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
น้ำพุร้อนจึงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่น้ำร้อนไหลขึ้นมาจากใต้ดิน ปัจจุบันในประเทศไทยพบแหล่งน้ำพุร้อน 112 แหล่ง กระจายอยู่ทั่วไป ทั้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคใต้ โดยมีอุณหภูมิน้ำร้อนที่ผิวดินอยู่ในช่วง 40 – 100 องศาเซลเซียส โดยน้ำพุร้อนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้ เช่น นำมาผลิตกระแสไฟฟ้า นำมาใช้ในด้านอุตสาหกรรมและการเกษตรกรรม ในปัจจุบันยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากอีกแหล่งหนึ่งอีกด้วย
การเกิดน้ำพุร้อน
น้ำพุร้อน หมายถึง น้ำที่พ่นออกมาจากผิวดินขึ้นสู่อากาศ ด้วยความดันจากความร้อนใต้พิภพ ซึ่งน้ำพุร้อนนี้มีหลายขนาดและหลายประเภทแตกต่างกันออกไปตามสภาพภูมิประเทศหรือปัจจัยการเกิดของน้ำพุร้อนนั้นๆ เช่นปริมาณแร่ธาตุที่ละลายผสมอยู่ในน้ำ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถแบ่งน้ำพุร้อนออกเป็นประเภทที่พบเห็นได้บ่อย และวิธีการเกิดได้ดังต่อไปนี้
1. น้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geyser) เป็นน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่และกำลังแรงมาก อาจะพ่นน้ำได้สูงขึ้นไปในอากาศได้ถึง 60 เมตรเลยก็ได้ เกิดจากการสะสมความร้อนจากน้ำในโพรงดินใต้พื้นพิภพ และไม่สามารถระบายออกมาได้ เมื่อความร้อนไม่สามารถระบายออกมาได้ ก็จะสะสมกักเก็บจนมีแรงดันมหาศาลที่สามารถพ่นน้ำให้สูงขึ้นไปได้ในอากาศ และเมื่อความร้อนคลายออกไปจนหมดแล้ว จะเข้าสู่การเก็บสะสมความร้อนใหม่อีกครั้ง
2. น้ำพุร้อน ( Hot Spring ) เกิดจากน้ำที่ไหลออกมาจากทางน้ำใต้พื้นดิน ซึ่งมีอุณหภูมิที่สูงกว่าร่างกายมนุษย์ โดยมากน้ำที่ไหลออกมาจะเป็นลักษณะของการปลดปล่อยพลังงาน และเมื่อน้ำที่ไหลออกมานั้นคลายความร้อนหรือพลังงานลงก็จะไหลกลับคืนสู่แหล่งอีกครั้ง ซึ่งบ่อน้ำพุประเภทนี้มักจะมีแร่ธาตุต่างๆ เจือปนอยู่ด้วยทำให้มักมีสีหรือกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป น้ำพุร้อนประเภทนี้พบได้มากใน ไทย ไอซ์แลนด์ นิวซีแลนด์ เป็นต้น
3. บ่อไอเดือดหรือพุก๊าซ (Fumarole) มีลักษณะที่เป็นปล่องหรือหลุม ซึ่งมักจะมีไอน้ำระเหยเป็นไออยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพราะในบริเวณนั้นมีน้ำน้อย แต่มีอุณหภูมิใต้พื้นดินที่มีความร้อนสูง ทำให้น้ำที่อยู่บริเวณนั้นระเหยกลายเป็นไออยู่ตลอดเวลา น้ำพุร้อนประเภทบ่อเดือดนี้พบได้มากในประเทศที่มีภูเขาไฟ
4. บ่อโคลนเดือด หรือบ่อพุเดือด(Mud pot) มีลักษณะเป็นบ่อที่มีน้ำผสมกับดินจนกลายเป็นดินเหลว ประกอบกับเมื่อมีความร้อนใต้ชั้นดินด้านล่างที่สูงจัด จนดันไอน้ำที่มีพลังงานความร้อนจัดขึ้นมาทะลุชั้นผิวที่เป็นโคลน ทำให้ดูเหมือนเป็นการระเบิดย่อยๆ บ่อชนิดนี้มักมีกำมะถันเจือปนอยู่ด้วย ดังนั้นจึงมักจะได้กลิ่นของกำมะถันกระจายอยู่ทั่วบริเวณ พบบ่อประเภทนี้ได้บ่อยมากในประเทศที่มีภูเขาไฟ
น้ำพุร้อนในแต่ละที่นั้นมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันออกไปนะครับ ตั้งแต่แค่อุ่นๆ จนไปถึงร้อนจัดจนสามารถต้มไข่สุกได้ในไม่กี่นาที สำหรับประเทศไทยเรานั้นสถานที่ท่องเที่ยวในเรื่องของน้ำพุร้อนจะอยู่ที่บริเวณภาคเหนือของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น น้ำพุร้อนหินดาด กาญจนบุรี น้ำพุร้อนสันกำแพง โป่งเดือดป่าแป๋ เชียงใหม่ และที่อื่นๆ อีกมากมาย
น้ำพุร้อนและพลังงานความร้อนใต้พิภพ
น้ำพุร้อนเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ให้ทราบว่าใต้เปลือกโลกลงไปมีพลังงานความร้อนกักเก็บสะสมตัวจำนวนมากมากกว่าปกติความร้อนดังกล่าวมาจากหินอัคนีที่ยังคงความร้อนอยู่หนุนแทรกขึ้นมาในระดับความลึกมากนัก เมื่อฝนซึมผ่านชั้นดินและหินลงไป ความร้อนที่กักเก็บอยู่จะทำให้อุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นจนกลายเป็นน้ำร้อนหรือไอน้ำ โดยคุณสมบัติทางเคมี และกายภาพเปลี่ยนไป น้ำร้อนและไอน้ำดังกล่าว จะไหลหมุนเวียนแทรกขึ้นมาทางรอยแตกเลื่อนขึ้นสู่ผิวดินและปรากฏให้เป็นในลักษณะของน้ำพุร้อน และไปน้ำร้อนพลังงานความร้อน ที่กักเก็บสะสมใต้เปลือกโลก ดังข้างต้นที่รียกว่า “พลังงานความร้อนใต้พิภพ” แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ นับเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานธรรมชาติที่มีความสำคัญชนิดหนึ่ง การพัฒนาความร้อนใต้พิภพขึ้นมาใช้ประโยชน์ กระทำโดยการขุดเจาะหลุมไปยังแหล่งกับเก็บความร้อน ซึ่งความร้อนและไอน้ำไหลเวียนอยู่น้ำร้อนและไอน้ำร้อนมาผ่านกระบวนการเพื่อใช้ประโยชน์เพื่อการต่างๆ เช่นการผลิตกระแสไฟฟ้า การเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและอื่นๆ ลักษณะของการใช้ประโยชน์ จากพลังงานความร้อนใต้พิภพจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของแหล่งกับเก็บความร้อนเป็นสำคัญ
|
แนะนำบ่อน้ำพุร้อน แช่ออนเซ็นในไทยไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ
ตอบลบบ่อน้ำพุร้อนปลายพู่